Research Blog
งานวิจัย
Beauty Blog
ความงาม
ไลฟ์สไตล์
SB Interlab News
ข่าวสารเอสบี

ผิวหน้าสวย ปราศจากฝ้า กระ: คู่มือดูแลผิวอย่างเข้าใจและยั่งยืน

July 15, 2025
Reading Count
Table of Contents

ฝ้า กระ ปัญหาเล็กที่ใหญ่ในใจหลายคน

สำหรับหลายคน ฝ้าและกระดูเหมือนเป็นแค่จุดเล็กๆ บนใบหน้า แต่ความจริงแล้วมันส่งผลต่อความมั่นใจอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไป จุดเหล่านี้อาจขยายวงกว้าง สีเข้มขึ้น และรักษายากขึ้นหากปล่อยทิ้งไว้นาน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่แดดแรงตลอดปี ทั้งฝ้าและกระจึงเป็นปัญหาที่หลายคนต้องการจัดการให้หมดไป

ฝ้า (Melasma) มักเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือเทาอมน้ำตาลขึ้นบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก ขอบไม่คม เกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น แสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม ส่วนกระ (Freckles) เป็นจุดเล็กสีน้ำตาลอ่อนหรือเข้ม กระจายทั่วใบหน้า มักเกิดจากแสงแดดโดยตรง และจะชัดขึ้นเมื่อออกแดดจัด

ความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้เราจัดการฝ้าและกระได้อย่างเป็นระบบ ทั้งการป้องกัน การบำรุงผิว การเลือกผลิตภัณฑ์ รวมถึงนวัตกรรมทางการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ฉันจะเล่าอย่างละเอียดในบทความนี้

รู้จักฝ้าและกระให้ถ่องแท้ก่อนรักษา

ฝ้า (Melasma) เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ผลิตเมลานินมากเกินไป โดยมีปัจจัยกระตุ้นหลักคือแสงแดด ฮอร์โมนเพศหญิง (เช่น เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน) และกรรมพันธุ์ ฝ้าแบ่งเป็นสองประเภทคือ ฝ้าตื้น (อยู่ในชั้นหนังกำพร้า) และฝ้าลึก (อยู่ในชั้นหนังแท้) ฝ้าตื้นมักรักษาได้ง่ายกว่าเพราะตอบสนองต่อครีมทาได้ดีกว่า

กระ (Freckles) เกิดจากเซลล์เมลาโนไซต์สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อรังสี UV ทำให้เกิดเป็นจุดเล็กสีน้ำตาลเข้มหรืออ่อนบนผิว กระพบได้ตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะคนผิวขาวหรือผิวบาง และจะเห็นชัดขึ้นเมื่อออกแดดจัด

สาเหตุที่แท้จริงของฝ้าและกระ

แสงแดด รังสี UVA และ UVB กระตุ้นเมลาโนไซต์ให้สร้างเม็ดสีมากขึ้น

 ● ฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ทำให้ฮอร์โมนผันผวนจนกระตุ้นเม็ดสี
พันธุกรรม หากคนในครอบครัวมีฝ้าหรือกระมาก่อน จะเพิ่มโอกาสเกิดในรุ่นถัดไป

 ● สารเคมีและเครื่องสำอางบางชนิด ทำให้ผิวอ่อนแอ บางลง และเกิดฝ้าได้ง่าย

 ● ความเครียดและการพักผ่อน ระดับฮอร์โมน Cortisol ที่สูงจากความเครียด กระตุ้นเม็ดสีได้เช่นกัน

เมื่อเรารู้ต้นตอแล้ว การป้องกันและรักษาก็จะง่ายขึ้น

ป้องกันฝ้าและกระได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรม

การป้องกันคือหัวใจสำคัญที่สุด เพราะฝ้าและกระรักษายาก แต่ป้องกันได้ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง

 ●  ทากันแดดทุกวัน แม้ในวันที่อยู่บ้าน

เพราะรังสี UVA สามารถทะลุกระจกเข้ามาได้ กันแดดที่เลือกควรมี SPF อย่างน้อย 30-50 และค่า PA+++ หรือ PA++++ เพื่อป้องกัน UVA ที่ทำร้ายผิวลึกจนเกิดฝ้า ทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากออกแดดนาน

 ● ใช้อุปกรณ์ป้องกันแสงแดด

หมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด ร่มกัน UV เสื้อคลุมแขนยาว ทั้งหมดนี้ช่วยลดโอกาสเกิดฝ้าและกระได้จริง

 ● หลีกเลี่ยงแดดจัดช่วง 10.00 – 16.00 น.

หากจำเป็นต้องออกแดดช่วงนี้ ควรหาที่ร่มพักระหว่างทาง เพื่อลดระยะเวลาที่ผิวโดนแดดโดยตรง

 ● หลีกเลี่ยงความร้อนจัด

ไม่ใช่แค่แสงแดด ความร้อนจากการทำอาหาร อบซาวน่า หรืออยู่ใกล้เตาไฟ ก็เพิ่มการสร้างเม็ดสีได้เช่นกัน

เลือกสกินแคร์ยังไงให้ลดฝ้าและกระได้จริง

การเลือกครีมลดฝ้ากระต้องดูที่ ส่วนผสมสำคัญ เพราะสารบางตัวช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี และบางตัวช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้เม็ดสีที่อยู่บนผิวหลุดออก

 ● Vitamin C (Ascorbic Acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการสร้างเม็ดสี และกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

 ● Niacinamide (Vitamin B3) ช่วยยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีจากเซลล์สร้างสีไปยังเซลล์ผิว ทำให้ฝ้ากระค่อยๆ จางลง

 ● Alpha Arbutin ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ตัวการหลักในการผลิตเม็ดสี จึงลดฝ้าได้โดยตรง

 ● Kojic Acid ลดการสร้างเม็ดสี แต่มีโอกาสระคายเคืองสูง ควรใช้ภายใต้การแนะนำของแพทย์หรือเริ่มจากความเข้มข้นต่ำ

 ● Tranexamic Acid ใช้ในผู้ที่มีฝ้าลึกหรือฝ้าดื้อยา โดยจะยับยั้งกระบวนการที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสี เหมาะกับผู้ที่รักษาฝ้ามานานแต่ไม่ดีขึ้น

การใช้ครีมเหล่านี้ควร ใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือน และอย่าลืมควบคู่กับครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้น เพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวไม่ให้ระคายเคืองจนฝ้าลุกลาม

โภชนาการเพื่อผิวใส ไร้ฝ้า กระ

การกินอาหารที่มีประโยชน์ไม่ใช่แค่ดีต่อร่างกาย แต่ยังช่วยลดฝ้าและกระได้ด้วย

 ● วิตามิน C จากธรรมชาติ เช่น ฝรั่ง ส้ม มะนาว บร็อคโคลี่ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการสร้างเม็ดสี

 ● วิตามิน E เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน ช่วยปกป้องผิวจากการทำลายของรังสี UV

 ● สังกะสี (Zinc) จากหอยนางรม เนื้อแดง เมล็ดฟักทอง ช่วยลดการอักเสบและควบคุมฮอร์โมนในร่างกาย

 ● น้ำเปล่า ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร เพราะถ้าผิวขาดน้ำ ผิวจะหมองคล้ำและซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง

 ● หลีกเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง เพราะน้ำตาลทำให้เกิดภาวะ Glycation ที่ทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวแก่เร็วและคล้ำง่าย

เทคโนโลยีทางการแพทย์ทางลัดสู่ผิวใส

หากฝ้ากระเป็นลึก รักษาด้วยครีมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำหัตถการจะช่วยได้

 ● ยา Hydroquinone

เป็นยาลดฝ้าที่ใช้มานาน เห็นผลไว แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้ผิวบางหรือเกิดภาวะดื้อยา

 ● เลเซอร์

เช่น Q-Switched Nd:YAG หรือ Picosecond Laser ช่วยแตกเม็ดสีให้ร่างกายกำจัดออกตามกลไกธรรมชาติ ฝ้าจะค่อยๆ จางลง ต้องทำซ้ำทุก 2-4 สัปดาห์ตามคำแนะนำแพทย์

 ●  Chemical Peeling

คือการใช้กรดผลไม้ (AHA), TCA หรือกรดอื่นๆ ผลัดเซลล์ผิวเก่าออก ลดการสะสมของเม็ดสี ทำให้ฝ้าตื้นดูจางลง

ควรทำกับแพทย์เฉพาะทางผิวหนังหรือคลินิกที่น่าเชื่อถือเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

สุขภาพใจดี ผิวก็จะดีตาม

หลายคนโฟกัสแต่การทาครีมหรือเลเซอร์ แต่ลืมดูแลสุขภาพใจ ทั้งที่จริงแล้วฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) มีผลโดยตรงต่อการกระตุ้นเม็ดสี

การดูแลสุขภาพใจเริ่มง่ายๆ

 ● นอนหลับให้พอวันละ 7-8 ชั่วโมง

 ● ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่

 ● ทำสมาธิหรือฝึกหายใจลึกๆ วันละ 10 นาที เพื่อให้จิตใจสงบ ลดความเครียดสะสม

สรุป – ผิวสวยไร้ฝ้าและกระ เริ่มได้วันนี้

ฝ้าและกระอาจเป็นปัญหาที่รักษายาก แต่ไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขไม่ได้ การเริ่มป้องกันตั้งแต่วันนี้คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เลือกใช้กันแดดที่เหมาะสม บำรุงผิวด้วยสารลดเม็ดสี กินอาหารที่ดีต่อผิว และ

References

 ● American Academy of Dermatology Association. Melasma Treatment Guidelines. https://www.aad.org

 ● Chiang C, et al. World Journal of Dermatology. Update on Treatment of Melasma.

 ● Mayo Clinic. Hyperpigmentation Causes and Prevention. https://www.mayoclinic.org

 ● WebMD. Freckles and Sun Protection. https://www.webmd.com

 ● Skincare.org. Vitamin C & Arbutin for Hyperpigmentation. 2023.

Recommended Products

Related Knowledges