สำหรับหลายคน ฝ้าและกระดูเหมือนเป็นแค่จุดเล็กๆ บนใบหน้า แต่ความจริงแล้วมันส่งผลต่อความมั่นใจอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไป จุดเหล่านี้อาจขยายวงกว้าง สีเข้มขึ้น และรักษายากขึ้นหากปล่อยทิ้งไว้นาน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่แดดแรงตลอดปี ทั้งฝ้าและกระจึงเป็นปัญหาที่หลายคนต้องการจัดการให้หมดไป
ฝ้า (Melasma) มักเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือเทาอมน้ำตาลขึ้นบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก ขอบไม่คม เกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น แสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม ส่วนกระ (Freckles) เป็นจุดเล็กสีน้ำตาลอ่อนหรือเข้ม กระจายทั่วใบหน้า มักเกิดจากแสงแดดโดยตรง และจะชัดขึ้นเมื่อออกแดดจัด
ความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้เราจัดการฝ้าและกระได้อย่างเป็นระบบ ทั้งการป้องกัน การบำรุงผิว การเลือกผลิตภัณฑ์ รวมถึงนวัตกรรมทางการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ฉันจะเล่าอย่างละเอียดในบทความนี้
รู้จักฝ้าและกระให้ถ่องแท้ก่อนรักษา
ฝ้า (Melasma) เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ผลิตเมลานินมากเกินไป โดยมีปัจจัยกระตุ้นหลักคือแสงแดด ฮอร์โมนเพศหญิง (เช่น เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน) และกรรมพันธุ์ ฝ้าแบ่งเป็นสองประเภทคือ ฝ้าตื้น (อยู่ในชั้นหนังกำพร้า) และฝ้าลึก (อยู่ในชั้นหนังแท้) ฝ้าตื้นมักรักษาได้ง่ายกว่าเพราะตอบสนองต่อครีมทาได้ดีกว่า
กระ (Freckles) เกิดจากเซลล์เมลาโนไซต์สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อรังสี UV ทำให้เกิดเป็นจุดเล็กสีน้ำตาลเข้มหรืออ่อนบนผิว กระพบได้ตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะคนผิวขาวหรือผิวบาง และจะเห็นชัดขึ้นเมื่อออกแดดจัด
● แสงแดด รังสี UVA และ UVB กระตุ้นเมลาโนไซต์ให้สร้างเม็ดสีมากขึ้น
● ฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ทำให้ฮอร์โมนผันผวนจนกระตุ้นเม็ดสี
● พันธุกรรม หากคนในครอบครัวมีฝ้าหรือกระมาก่อน จะเพิ่มโอกาสเกิดในรุ่นถัดไป
● สารเคมีและเครื่องสำอางบางชนิด ทำให้ผิวอ่อนแอ บางลง และเกิดฝ้าได้ง่าย
● ความเครียดและการพักผ่อน ระดับฮอร์โมน Cortisol ที่สูงจากความเครียด กระตุ้นเม็ดสีได้เช่นกัน
เมื่อเรารู้ต้นตอแล้ว การป้องกันและรักษาก็จะง่ายขึ้น
การป้องกันคือหัวใจสำคัญที่สุด เพราะฝ้าและกระรักษายาก แต่ป้องกันได้ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง
● ทากันแดดทุกวัน แม้ในวันที่อยู่บ้าน
เพราะรังสี UVA สามารถทะลุกระจกเข้ามาได้ กันแดดที่เลือกควรมี SPF อย่างน้อย 30-50 และค่า PA+++ หรือ PA++++ เพื่อป้องกัน UVA ที่ทำร้ายผิวลึกจนเกิดฝ้า ทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากออกแดดนาน
● ใช้อุปกรณ์ป้องกันแสงแดด
หมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด ร่มกัน UV เสื้อคลุมแขนยาว ทั้งหมดนี้ช่วยลดโอกาสเกิดฝ้าและกระได้จริง
● หลีกเลี่ยงแดดจัดช่วง 10.00 – 16.00 น.
หากจำเป็นต้องออกแดดช่วงนี้ ควรหาที่ร่มพักระหว่างทาง เพื่อลดระยะเวลาที่ผิวโดนแดดโดยตรง
● หลีกเลี่ยงความร้อนจัด
ไม่ใช่แค่แสงแดด ความร้อนจากการทำอาหาร อบซาวน่า หรืออยู่ใกล้เตาไฟ ก็เพิ่มการสร้างเม็ดสีได้เช่นกัน
การเลือกครีมลดฝ้ากระต้องดูที่ ส่วนผสมสำคัญ เพราะสารบางตัวช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี และบางตัวช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้เม็ดสีที่อยู่บนผิวหลุดออก
● Vitamin C (Ascorbic Acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการสร้างเม็ดสี และกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
● Niacinamide (Vitamin B3) ช่วยยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีจากเซลล์สร้างสีไปยังเซลล์ผิว ทำให้ฝ้ากระค่อยๆ จางลง
● Alpha Arbutin ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ตัวการหลักในการผลิตเม็ดสี จึงลดฝ้าได้โดยตรง
● Kojic Acid ลดการสร้างเม็ดสี แต่มีโอกาสระคายเคืองสูง ควรใช้ภายใต้การแนะนำของแพทย์หรือเริ่มจากความเข้มข้นต่ำ
● Tranexamic Acid ใช้ในผู้ที่มีฝ้าลึกหรือฝ้าดื้อยา โดยจะยับยั้งกระบวนการที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสี เหมาะกับผู้ที่รักษาฝ้ามานานแต่ไม่ดีขึ้น
การใช้ครีมเหล่านี้ควร ใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือน และอย่าลืมควบคู่กับครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้น เพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวไม่ให้ระคายเคืองจนฝ้าลุกลาม
การกินอาหารที่มีประโยชน์ไม่ใช่แค่ดีต่อร่างกาย แต่ยังช่วยลดฝ้าและกระได้ด้วย
● วิตามิน C จากธรรมชาติ เช่น ฝรั่ง ส้ม มะนาว บร็อคโคลี่ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการสร้างเม็ดสี
● วิตามิน E เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน ช่วยปกป้องผิวจากการทำลายของรังสี UV
● สังกะสี (Zinc) จากหอยนางรม เนื้อแดง เมล็ดฟักทอง ช่วยลดการอักเสบและควบคุมฮอร์โมนในร่างกาย
● น้ำเปล่า ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร เพราะถ้าผิวขาดน้ำ ผิวจะหมองคล้ำและซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง
● หลีกเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง เพราะน้ำตาลทำให้เกิดภาวะ Glycation ที่ทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวแก่เร็วและคล้ำง่าย
หากฝ้ากระเป็นลึก รักษาด้วยครีมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำหัตถการจะช่วยได้
● ยา Hydroquinone
เป็นยาลดฝ้าที่ใช้มานาน เห็นผลไว แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้ผิวบางหรือเกิดภาวะดื้อยา
● เลเซอร์
เช่น Q-Switched Nd:YAG หรือ Picosecond Laser ช่วยแตกเม็ดสีให้ร่างกายกำจัดออกตามกลไกธรรมชาติ ฝ้าจะค่อยๆ จางลง ต้องทำซ้ำทุก 2-4 สัปดาห์ตามคำแนะนำแพทย์
● Chemical Peeling
คือการใช้กรดผลไม้ (AHA), TCA หรือกรดอื่นๆ ผลัดเซลล์ผิวเก่าออก ลดการสะสมของเม็ดสี ทำให้ฝ้าตื้นดูจางลง
ควรทำกับแพทย์เฉพาะทางผิวหนังหรือคลินิกที่น่าเชื่อถือเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
หลายคนโฟกัสแต่การทาครีมหรือเลเซอร์ แต่ลืมดูแลสุขภาพใจ ทั้งที่จริงแล้วฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) มีผลโดยตรงต่อการกระตุ้นเม็ดสี
การดูแลสุขภาพใจเริ่มง่ายๆ
● นอนหลับให้พอวันละ 7-8 ชั่วโมง
● ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
● ทำสมาธิหรือฝึกหายใจลึกๆ วันละ 10 นาที เพื่อให้จิตใจสงบ ลดความเครียดสะสม
สรุป – ผิวสวยไร้ฝ้าและกระ เริ่มได้วันนี้
ฝ้าและกระอาจเป็นปัญหาที่รักษายาก แต่ไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขไม่ได้ การเริ่มป้องกันตั้งแต่วันนี้คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เลือกใช้กันแดดที่เหมาะสม บำรุงผิวด้วยสารลดเม็ดสี กินอาหารที่ดีต่อผิว และ
● American Academy of Dermatology Association. Melasma Treatment Guidelines. https://www.aad.org
● Chiang C, et al. World Journal of Dermatology. Update on Treatment of Melasma.
● Mayo Clinic. Hyperpigmentation Causes and Prevention. https://www.mayoclinic.org
● WebMD. Freckles and Sun Protection. https://www.webmd.com
● Skincare.org. Vitamin C & Arbutin for Hyperpigmentation. 2023.