ผิวแห้ง (Dry Skin) เป็นภาวะที่ผิวผลิตน้ำมันไม่เพียงพอหรือสูญเสียความชุ่มชื้นไปมากกว่าปกติ ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและกลายเป็นผิวแห้ง ลอก คัน หรือเป็นขุยได้ง่าย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งมีหลายปัจจัย เช่น:
● สภาพอากาศ: อากาศหนาว แห้ง หรือลมแรง สามารถทำให้ผิวสูญเสียความชื้น
● พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน: อาบน้ำอุ่นนานๆ ใช้สบู่ที่มีฤทธิ์แรง หรือไม่ทาครีมบำรุงผิว
● อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะผลิตน้ำมันได้น้อยลง
● พันธุกรรมและปัญหาผิวเฉพาะบุคคล: เช่น ผิวแพ้ง่าย หรือเป็นโรคผิวหนังบางชนิด
การเข้าใจลักษณะของผิวแห้งจะช่วยให้เราเลือกวิธีดูแลได้ตรงจุดมากขึ้น
หลายครั้งที่ผิวแห้งไม่ใช่เพราะผลิตภัณฑ์ที่เราใช้เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากพฤติกรรมบางอย่างที่เราทำจนชินโดยไม่รู้ตัว เช่น:
● ล้างหน้าหรืออาบน้ำบ่อยเกินไป โดยเฉพาะใช้น้ำร้อนจัด ทำให้ไขมันที่เคลือบผิวหลุดออกไป
● ใช้สบู่หรือคลีนเซอร์ที่มีสารทำความสะอาดแรง เช่น SLS (Sodium Lauryl Sulfate
● ไม่ทามอยเจอร์ไรเซอร์หลังอาบน้ำทันที ช่วงเวลาหลังอาบน้ำเป็นช่วงที่ผิวยังเปิดรับการดูดซึมความชุ่มชื้นได้ดีที่สุด
● อยู่ในห้องแอร์นานๆ โดยไม่มีเครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ
● ดื่มน้ำน้อยกว่าที่ควร ทำให้ร่างกายขาดน้ำ และผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้เพียงพอ
หากหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ได้ จะช่วยลดความแห้งของผิวได้มากทีเดียวค่ะ
ผิวพรรณเป็นสิ่งที่สะท้อนสุขภาพจากภายใน การดูแลผิวจากภายในจึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยเริ่มจากการเลือกอาหารที่ดีต่อผิว เช่น:
● ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 6–8 แก้ว เพื่อเติมน้ำให้เซลล์ผิว
● กินอาหารที่มีกรดไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว
● วิตามิน C และ E จากผลไม้และผักใบเขียว ช่วยในการฟื้นฟูผิวและต้านอนุมูลอิสระ
● ซิงค์ (Zinc) จากไข่แดง เมล็ดฟักทอง และถั่ว เป็นแร่ธาตุที่ช่วยลดการอักเสบและซ่อมแซมผิว
การบำรุงผิวด้วยอาหารจะให้ผลที่ยั่งยืนในระยะยาว เพราะเป็นการเสริมสร้างผิวจากรากฐาน
การอาบน้ำที่ถูกวิธีสามารถช่วยให้ผิวไม่สูญเสียความชุ่มชื้นมากเกินไป ลองปรับเปลี่ยนวิธีอาบน้ำดังนี้:
● ใช้น้ำอุ่นไม่เกิน 38 องศา เพื่อไม่ให้ละลายไขมันตามธรรมชาติบนผิว
● ใช้สบู่อ่อนโยน ที่ไม่มีน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์
● ไม่อาบน้ำนานเกิน 10–15 นาที โดยเฉพาะในหน้าหนาว
● ซับผิวให้แห้งเบาๆ ด้วยผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม ไม่ถูแรง
● ทามอยเจอร์ไรเซอร์ทันทีหลังเช็ดตัวภายใน 3 นาที ขณะที่ผิวยังชื้น เพื่อล็อกความชุ่มชื้น
แค่ปรับพฤติกรรมเล็กๆ นี้ ผิวก็จะเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งครีมแพงๆ เลยค่ะ
ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแห้งควรเน้นส่วนผสมที่ช่วยกักเก็บน้ำและเสริมเกราะป้องกันผิว ดังนี้:
● Hyaluronic Acid ช่วยเติมน้ำให้ผิว
● Ceramides เสริมโครงสร้างชั้นผิวให้แข็งแรง
● Glycerin และ Panthenol ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น
● Shea Butter หรือ Jojoba Oil บำรุงล้ำลึกและลดการสูญเสียน้ำ
● หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ และพาราเบน
นอกจากนี้การเลือกผลิตภัณฑ์ตามสภาพอากาศก็สำคัญ เช่น ถ้าอยู่ในห้องแอร์ควรใช้ครีมที่เนื้อเข้มข้นกว่าปกติ
การดูแลผิวให้ชุ่มชื้นอย่างต่อเนื่องต้องมีรูทีนที่ชัดเจน โดยเฉพาะช่วงเช้าและก่อนนอน
รูทีนเช้า:
● ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์อ่อนโยน
● ทาเซรั่มเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น hyaluronic acid
● ทาครีมบำรุงผิว
● ปิดท้ายด้วยครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวี
รูทีนกลางคืน:
● ล้างหน้าและเช็ดเครื่องสำอางให้สะอาด
● ใช้โทนเนอร์หรือเอสเซนส์
● ทามอยเจอร์ไรเซอร์สูตรเข้มข้น
● อาจเพิ่มสลีปปิ้งมาสก์สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง
การมีรูทีนดูแลผิวสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วขึ้น และคงความชุ่มชื้นได้ยาวนาน
บางครั้งผลิตภัณฑ์ธรรมชาติก็ช่วยฟื้นฟูผิวได้ดีเช่นกัน และปลอดภัยสำหรับผิวแพ้ง่าย เช่น:
● ว่านหางจระเข้ ใช้เจลสดพอกผิว ช่วยลดการอักเสบและเติมน้ำให้ผิว
● น้ำผึ้งแท้ พอกทิ้งไว้ 10–15 นาที แล้วล้างออก จะทำให้ผิวนุ่มลื่น
● น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันอัลมอนด์ ทาหลังอาบน้ำ ช่วยเก็บความชุ่มชื้น
● น้ำนมสด ใช้สำลีชุบน้ำนมเช็ดผิวหน้าให้ทั่ว ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม
วิธีธรรมชาติเหล่านี้สามารถทำที่บ้านได้ง่ายๆ และเป็นมิตรกับผิวในระยะยาว
● American Academy of Dermatology Association. “Dry Skin: Causes, Prevention, and Treatment.”
● Harvard Health Publishing. “Moisturizers: Do they work?”
● Mayo Clinic. “Dry Skin – Symptoms and Causes.”
● Healthline. “Best Moisturizers for Dry Skin: Ingredients and Products to Try.”
● National Eczema Association. “Understanding Emollients and Moisturizers.”