แสงแดดคือพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่เดินทางมายังโลกในรูปของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยหลายช่วงคลื่น ได้แก่
● แสงที่ตามองเห็น (Visible light) ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ
● รังสีอินฟราเรด (IR) ให้ความร้อนแก่โลก
● รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) แม้มองไม่เห็น แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผิวหนัง
แสงแดดมีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศและชีวิตมนุษย์ เช่น ทำให้พืชสร้างอาหารผ่านการสังเคราะห์แสง ทำให้ร่างกายมนุษย์สร้างวิตามิน D และกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุข (Serotonin) จึงไม่แปลกที่หลายคนรู้สึกสดชื่นเวลาได้ออกไปเจอแดดอ่อนๆ
อย่างไรก็ตาม แสงแดดก็เป็น ดาบสองคม เมื่อได้รับมากเกินไปหรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวเสื่อมโทรม เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ ฝ้า กระ ผิวไหม้ ไปจนถึงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง
บทความนี้จะพาคุณ เจาะลึก 7 หัวข้อสำคัญเกี่ยวกับแสงแดด ที่มีผลต่อผิว ทั้งข้อดี ข้อเสีย และวิธีปกป้องผิวให้คุณใช้ชีวิตกลางแจ้งได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
รังสี UV (Ultraviolet Radiation) คือส่วนหนึ่งของแสงแดดที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงที่ตามองเห็น แบ่งเป็น 3 ชนิดหลัก:
🔹 UVA (320-400 nm)
● คิดเป็น 95% ของรังสี UV ที่มาถึงผิวโลก
● ทะลุผ่านชั้นผิวลงไปถึง หนังแท้ (Dermis) ซึ่งเป็นที่อยู่ของคอลลาเจนและอีลาสติน
● สะสมความเสียหายในระดับลึก ทำให้ผิวเสื่อมโทรม เกิด ริ้วรอยก่อนวัย ความหย่อนคล้อย ผิวแห้งกร้าน และยังทำให้เมลานินถูกกระตุ้น เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำได้ง่าย
● ทะลุกระจกได้ จึงทำร้ายผิวแม้คุณจะอยู่ในอาคาร รถยนต์ หรือทำงานใกล้หน้าต่าง
🔹 UVB (290-320 nm)
● คิดเป็นเพียง 5% ของรังสี UV ที่ถึงพื้นโลก
● พลังงานสูง ทำลาย ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ทำให้ผิวไหม้แดด แสบ แดง ลอก
● เป็นตัวการหลักในการทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
● เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งผิวหนัง เพราะทำลาย DNA ในเซลล์
🔹 UVC (100-290 nm)
● พลังงานสูงสุดแต่โชคดีที่ ถูกโอโซนดูดซับไว้หมด ไม่ถึงพื้นโลก
● หากโอโซนถูกทำลาย จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต
สรุป: UVA = ความแก่, UVB = การไหม้แดด + มะเร็งผิวหนัง
ทั้งสองรังสีนี้ทำงานร่วมกัน ทำให้ผิวเสื่อมโทรมเร็วกว่าความแก่ตามวัยหลายเท่า
แม้เราจะกลัวแดด แต่ร่างกายต้องการแสงแดดเพื่อ สร้างวิตามิน D โดย
● เมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสี UVB คอเลสเตอรอลใต้ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นวิตามิน D
● วิตามิน D สำคัญต่อการดูดซึม แคลเซียมและฟอสฟอรัส เสริมสร้างกระดูกและฟัน
● ช่วยป้องกัน โรคกระดูกพรุน กระดูกอ่อนในเด็ก (Rickets) และยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
● มีงานวิจัยชี้ว่า วิตามิน D ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด และภาวะซึมเศร้า
ควรรับแดดนานแค่ไหน?
● ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รับแสงแดด 5-15 นาที/วัน ในช่วงเช้าหรือเย็น ขึ้นอยู่กับสีผิวและภูมิภาค
● ไม่ควรรับแดดตรงช่วงเที่ยงถึงบ่าย เพราะ UVB สูงสุด อาจทำร้ายผิวมากกว่าผลดี
ข้อควรระวัง: แม้แดดช่วยสร้างวิตามิน D แต่ไม่ควรใช้เป็นข้ออ้างในการตากแดดจัดโดยไม่ป้องกันผิว
☀️ ผิวไหม้แดด (Sunburn)
● เกิดจาก UVB ทำลายหนังกำพร้า ทำให้ผิวแสบ แดง ร้อน ลอกเป็นแผ่น
● ระยะเริ่มต้นจะรู้สึกแสบผิวใน 2-6 ชั่วโมงหลังโดนแดด รุนแรงสุดใน 12-24 ชั่วโมง
● หากรุนแรงมาก อาจเกิดตุ่มน้ำพอง ปวดหัว คลื่นไส้ และต้องพบแพทย์
☀️ ฝ้า (Melasma)
● แสงแดดกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์สร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินไป
● ฝ้าจะขึ้นเป็น ปื้นสีน้ำตาลเข้ม หรือเทาอมน้ำตาล พบมากบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก
● เป็นปัญหาผิวที่รักษายาก และมักกลับมาเป็นซ้ำถ้าไม่ปกป้องผิวจากแดดอย่างจริงจัง
☀️ กระ (Freckles)
● จุดเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม เกิดจากเมลานินรวมตัวกัน
● พบบ่อยในคนผิวขาวหรือผู้ที่มีกรรมพันธุ์เป็นกระ แต่แสงแดดจะทำให้สีเข้มขึ้น
☀️ จุดด่างดำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ
● แสงแดดทำให้เมลานินถูกกระตุ้นมากขึ้นในบางจุด ทำให้ผิวดูหมองคล้ำไม่สม่ำเสมอ
● จุดด่างดำเกิดได้จากสิวที่ทิ้งรอยไว้ และหากไม่ปกป้องผิว จุดจะเข้มขึ้นจนกลายเป็นรอยถาวร
แสงแดดเป็น สาเหตุหลักของความแก่ก่อนวัย (Photoaging) มากกว่าความแก่จากอายุจริง เพราะ
● UVA ทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้
● ทำให้โครงสร้างผิวเสียหาย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
● เกิดริ้วรอยลึกโดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา หน้าผาก ร่องแก้ม
● ผิวจะขาดความยืดหยุ่น แห้งกร้าน หนา และเกิดจุดเม็ดสี (Lentigines) หรือที่เรียกว่า Age spots / Sun spots
📊 งานวิจัยในฝรั่งเศส พบว่าผู้ที่ปกป้องผิวจากแดดอย่างสม่ำเสมอ มีริ้วรอยและจุดด่างดำน้อยกว่าผู้ที่ละเลยการทากันแดดถึง 24%
แสงแดด โดยเฉพาะ UVB และ UVA สามารถทำลาย DNA ในเซลล์ผิว ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ จนพัฒนาเป็นมะเร็งผิวหนัง ซึ่งแบ่งออกเป็น
🔹 Basal Cell Carcinoma (BCC)
● พบมากที่สุดในมะเร็งผิวหนังทั้งหมด
● มักเกิดในส่วนที่โดนแดดบ่อย เช่น หน้า จมูก คอ หู
● ลักษณะเป็นตุ่มเล็กใสหรือสีเนื้อ โตช้า ไม่เจ็บ
🔹 Squamous Cell Carcinoma (SCC)
● มักเกิดในคนที่ทำงานกลางแดดตลอด เช่น เกษตรกร ช่างก่อสร้าง
● เป็นตุ่มหรือแผลที่ไม่หาย ขยายตัวเร็ว อาจลุกลามไปอวัยวะข้างเคียงได้
🔹 Melanoma
● รุนแรงที่สุด แม้พบได้น้อยในเอเชีย
● เริ่มจากไฝที่เปลี่ยนสี ขนาด หรือรูปร่างผิดปกติ
● สามารถแพร่กระจายไปอวัยวะภายในได้อย่างรวดเร็ว
ข้อเท็จจริง: ในไทย แม้มะเร็งผิวหนังจะพบน้อยกว่าประเทศตะวันตก แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีจากการทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยไม่ปกป้องผิว
● ทาครีมกันแดดทุกวัน
เลือก SPF 30-50 PA+++ ขึ้นไป สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง เลือกสูตรกันน้ำ (Water-resistant)
● ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง
โดยเฉพาะเมื่อเหงื่อออก หรือว่ายน้ำ
● ใส่เสื้อแขนยาวสีเข้ม หมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด
เพื่อป้องกัน UVA และ UVB ได้มากกว่าเสื้อสีอ่อน
● หลีกเลี่ยงแดดจัดช่วง 10.00-14.00 น.
● บำรุงผิวหลังโดนแดด
ด้วย After Sun หรือเจลว่านหางจระเข้ เพื่อปลอบประโลม ลดการอักเสบและฟื้นฟูผิว
● ทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ
เช่น มะเขือเทศ เบอร์รี่ แครอท ส้ม เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันผิวจากภายใน
● ตรวจสอบไฝและจุดบนผิวหนังเป็นประจำ
หากพบการเปลี่ยนแปลง ควรพบแพทย์ผิวหนัง
แสงแดดเป็นทั้งเพื่อนและศัตรู
แสงแดดมีบทบาทสำคัญต่อชีวิต แต่ก็สามารถทำร้ายผิวได้อย่างรุนแรงหากไม่ป้องกันอย่างถูกต้อง การสร้างสมดุลระหว่าง การรับวิตามิน D อย่างพอดี และ การป้องกันอันตรายจากรังสี UV คือเคล็ดลับสำคัญในการมีผิวที่สุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์ และลดความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังในระยะยาว
● World Health Organization. Ultraviolet Radiation and the INTERSUN Programme. https://www.who.int/uv
● American Cancer Society. Skin Cancer Facts. https://www.cancer.org/cancer/skin-cancer.html
● Holick MF. Vitamin D Deficiency. N Engl J Med. 2007;357(3):266-281.
● Narayanan DL, Saladi RN, Fox JL. Ultraviolet radiation and skin cancer. Int J Dermatol. 2010;49(9):978-986.
● Fisher GJ et al. Mechanisms of Photoaging and Chronological Skin Aging. Arch Dermatol. 2002;138(11):1462-1470.
● Kullavanijaya P, Lim HW. Photoprotection. J Am Acad Dermatol. 2005;52(6):937-958.