ถ้าพูดถึงการดูแลผมให้แข็งแรง เรามักนึกถึงการใช้แชมพูหรือคอนดิชันเนอร์ดี ๆ แต่เมื่อฉันศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับโครงสร้างผมและปัจจัยที่ทำให้ผมอ่อนแอ พบว่าความแข็งแรงของเส้นผมไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ผลิตภัณฑ์ภายนอก แต่เกี่ยวข้องกับชีววิทยาของเส้นผม โภชนาการ และกระบวนการดูแลในชีวิตประจำวันอย่างละเอียด
ฉันจะพาไปสำรวจงานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับเส้นผมใน 7 หัวข้อ เพื่อให้คุณเข้าใจวิธีดูแลผมให้แข็งแรงในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์
งานวิจัย Robbins (2012) ใน Chemical and Physical Behavior of Human Hair อธิบายว่า เส้นผมคือเส้นใยโปรตีนที่สร้างจากเซลล์ keratinocyte ใน hair follicle เมื่อเซลล์เคลื่อนตัวขึ้นสู่ผิวหนังจะตายและกลายเป็นเส้นผมที่เราสัมผัส
● โครงสร้างผม 3 ชั้น: cuticle, cortex, medulla
● ความแข็งแรงของเส้นผม: cortex เป็นส่วนสำคัญสุดเพราะประกอบด้วย keratin fiber และ disulfide bond ที่เพิ่มแรงต้านทานต่อการดึงและแรงดัด
ในงานวิจัยเดียวกัน Robbins พบว่า cuticle เป็นด่านแรกในการป้องกันความเสียหาย หาก cuticle ถูกกัดกร่อน ผมจะสูญเสียน้ำ ความเงางาม และขาดง่ายขึ้น
งานวิจัยของ Lee et al. (2018) ใน Annals of Dermatology ศึกษาผลกระทบของความร้อนและสารเคมีต่อผม พบว่า
● การใช้ความร้อนสูง (>150°C) ทำให้ cuticle แตกหัก เผย cortex ภายใน
● การกัดสีผม (bleaching) ทำลาย disulfide bond ภายใน cortex โดยตรง ลดความแข็งแรงของเส้นผมลงกว่า 40% หลังการกัดสีเพียงครั้งเดียว
● การย้อมสีผมซ้ำๆ ทำลายทั้ง cuticle และ cortex เพิ่มการสูญเสียโปรตีน ทำให้เส้นผมเปราะบาง
จึงไม่น่าแปลกใจที่ผมที่ถูกย้อมหรือกัดสีจะขาดง่าย แม้ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมราคาแพง หากโครงสร้างภายในเสียหายแล้ว ผลิตภัณฑ์บำรุงจะทำได้แค่เคลือบภายนอก ไม่สามารถซ่อมแซม disulfide bond ที่ขาดได้
เส้นผมประกอบด้วย keratin มากกว่า 95% โดย keratin เป็นโปรตีนเส้นใย (fibrous protein) ที่มี cysteine สูง ทำให้เกิดพันธะกำมะถัน (disulfide bond) ซึ่งสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่น
งานวิจัยของ Trüeb (2016) ตีพิมพ์ใน Journal of Dermatological Treatment ระบุว่า
● เคราตินไฮโดรไลซ์ในแชมพูหรือคอนดิชันเนอร์ สามารถเกาะบน cuticle ช่วยเติมเต็มช่องว่างของ cuticle ที่เสียหาย
● เคราตินไฮโดรไลซ์โมเลกุลเล็ก สามารถซึมเข้าสู่ cortex ชั่วคราว เพิ่ม tensile strength ของเส้นผม แต่ไม่ใช่การซ่อมแซมถาวร
ดังนั้น แม้เคราตินไฮโดรไลซ์จะไม่สามารถซ่อมแซมพันธะที่ถูกทำลาย แต่ก็ช่วยเคลือบและลดการขาดร่วงในชีวิตประจำวันได้
งานวิจัยของ Rele & Mohile (2003) ทดสอบน้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก และน้ำมันแร่ พบว่า
● น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) มีกรดลอริก (Lauric Acid) โมเลกุลเล็ก แทรกซึม cortex ได้ดี ลดการสูญเสียโปรตีนระหว่างสระผมได้มากกว่าน้ำมันชนิดอื่น
● น้ำมันมะกอก (Olive Oil) ไม่ซึมเข้าสู่ cortex ได้เท่าน้ำมันมะพร้าว แต่เคลือบ cuticle ได้ดี ลดการเสียดสีและผมพันกัน
● น้ำมันแร่ (Mineral Oil) ไม่ซึมเข้า cortex แต่เคลือบผมป้องกันการสูญเสียน้ำ
งานวิจัยนี้เป็นหลักฐานที่สนับสนุนการหมักผมด้วยน้ำมัน (oil pre-treatment) ก่อนสระเพื่อลดความเสียหายของ cuticle และ cortex
บทบาทของวิตามินและแร่ธาตุต่อสุขภาพผม พบว่า
● Iron (ธาตุเหล็ก): ขาดแล้วผมร่วงจากการสร้างเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอ
● Zinc (สังกะสี): ช่วยสร้างโปรตีนและซ่อมแซมเนื้อเยื่อผม
● Biotin (Vitamin B7): จำเป็นต่อการสร้าง keratin รากผมแบ่งตัวไว จึงต้องใช้ biotin ในปริมาณมาก
● Vitamin D: มีบทบาทกระตุ้นการเจริญเติบโตของ hair follicle
● Omega-3: ลดการอักเสบของหนังศีรษะ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ cuticle
ผู้ที่ขาดวิตามินเหล่านี้จะพบปัญหาผมร่วงและผมอ่อนแอ การรับประทานอาหารที่มีโปรตีน เหล็ก ซิงค์ ไบโอติน และไขมันดี จึงสำคัญต่อสุขภาพผมมากกว่าการทาครีมบำรุงเพียงอย่างเดียว
Copper Peptide (GHK-Cu) ถูกศึกษาว่าสามารถกระตุ้นการเจริญของ hair follicle
● งานวิจัยใน International Journal of Cosmetic Science (2007) พบว่า Copper Peptide ช่วยเพิ่ม vascular endothelial growth factor (VEGF) กระตุ้นการสร้างหลอดเลือดเลี้ยงรากผม และกระตุ้นการสร้าง collagen และ keratinocyte ทำให้เส้นผมแข็งแรงขึ้น
ผลิตภัณฑ์ดูแลผมในเกาหลีใต้และญี่ปุ่นหลายยี่ห้อเริ่มใส่ copper peptide เป็น active ingredient สำหรับป้องกันผมบางและเสริมความแข็งแรงเส้นผม
หลักการดูแลเส้นผมให้แข็งแรงจากงานวิจัย
จากการทบทวนงานวิจัยหลายฉบับ ฉันสรุปได้ว่า
● ปกป้อง cuticle ด้วยการเลี่ยงสารเคมีและความร้อนสูง
● เติมโปรตีนเคราตินไฮโดรไลซ์ เพื่อลดช่องว่างใน cuticle
● ใช้น้ำมันมะพร้าวหรือมะกอกหมักก่อนสระ ลดการสูญเสียโปรตีน
● รับประทานอาหารโปรตีนสูง เหล็ก สังกะสี และไบโอติน เพื่อให้รากผมสร้างเส้นผมใหม่ได้เต็มที่
● ทดลองผลิตภัณฑ์ที่มี copper peptide หากต้องการเพิ่มความแข็งแรงและกระตุ้นการงอกใหม่
● Robbins, C. R. (2012). Chemical and Physical Behavior of Human Hair. Springer.
● Rele, A. S., & Mohile, R. B. (2003). Effect of mineral oil, sunflower oil, and coconut oil on prevention of hair damage. Journal of Cosmetic Science.
● Lee, W. S., et al. (2018). Hair shaft damage from heat and dyeing. Annals of Dermatology.
● Trüeb, R. M. (2016). Shampoos: Ingredients, efficacy and adverse effects. Journal of Dermatological Treatment.
● Ganceviciene, R., et al. (2012). Skin anti-aging strategies. Dermato-Endocrinology.
● Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology (2017). Role of vitamins and minerals in hair loss.
● Pickart, L., & Margolina, A. (2007). GHK peptides for skin and hair rejuvenation. International Journal of Cosmetic Science.